เอาไม้สักทำฟืน



อานุภาพ “สติกเกอร์ส่วย” ของวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ส.ส.พรรคก้าวไกล รุนแรงจริง ๆ ถึงขั้นตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจทางหลวงกระเด็น

วิโรจน์เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ยังไม่เป็น เป็นมท.1 หรือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยยิ่งไม่ใช่ เพียงแค่ใช้ “โซเชียล มีเดีย” สะกิดแผลเน่าเฟอะอันเป็นที่รับทราบมานานในใจคน ก็เป็นผลเปลี่ยนอย่างเร็วดังว่า

ยังคงจะมีนโยบายเปลี่ยนอันน่าตื่นเต้นออกมาอีกจากพรรคก้าวหน้า เช่น แนวนโยบายปราบการคดโกง การปรับปรุงตำรวจ รวมทั้งผู้กระทำระจายอำทุ่งนาจการปกครอง อื่นๆอีกมากมาย

แต่ว่าส่วนแผนการเศรษฐกิจ ที่พรรคก้าวหน้ามอบหมายโดดเดี่ยวมือ 1 นางสาวศรีสาวรุ่น ตันสกุล เป็นผู้ชูร่าง ก็น่ากังวลอยู่เช่นกัน โดยยิ่งไปกว่านั้นพื้นความรู้ความรู้ความเข้าใจในภาคเศรษฐกิจเล็กน้อย

ซึ่งบางทีก็อาจจะพาหลงด้านผิดทาง รวมทั้งอาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจฟุบตัวยาว เป็นไปไม่ได้รู้สึกตัวไปเลยก็ได้

แนวนโยบายไขปัญหาค่าไฟฟ้าแพง: จัดแบ่งปิโตรเลียมจากอ่าวไทยเข้าโรงไฟฟ้า ก่อนจะมีการแบ่งสรรไปสู่อุตสาหกรรมปิโตรเคมี เพื่อการสร้างกระแสไฟ มีต้นทุนที่ต่ำลง

คนภายในแวดวงพลังงานพากันร้อง “ไอ้หยา” พร้อม เนื่องจากโน่นเปรียบได้กับการเอาไม้สักที่ราคาแพงแพงที่สุด เหมาะสมแก่กระบวนการทำพื้นทำฝาและก็เครื่องเรือนราคาสูง มาทำ “ฟืน” หุงหาอาหารของกินเสียนี่

หรือจะเรียกว่า “เอาทองมาเผา” ก็คงจะไม่ผิดนัก!

ธรรมชาติของแก๊สที่ขุดได้จากอ่าวไทยนั้นมีคุณลักษณะเป็น “ก๊าสแฉะ” สามารถนำไปเข้าวิธีการแยกก๊าสเป็นวัตถุดิบขึ้นต้นของโรงงานปิโตรเคมี ซึ่งราคาแพงสูงขึ้นมากยิ่งกว่าแก๊สจากหน้าปากหลุมเป็น 30-50 เท่าตัว

ส่วนก๊าสจากประเทศพม่าเป็น “แก๊สแห้ง” เอาไปเผาสิ่งเดียว ไม่มีคุณลักษณะทางปิโตรเคมี

ถึงเหนือกว่าเปรยๆว่า อย่าเอาไม้สักซึ่งมีคุณค่าราคาไปทำฟืน

ปัญหาด้านการจัดเก็บ “ภาษีหุ้น” ก็จะต้องคิดทบทวนให้ดี รัฐบาลชุดรักษาการเดี๋ยวนี้ ก็เคยดำริจะเก็บภาษีขายมาแล้วและถอยไปแล้ว เหตุเพราะโดนทักท้วงอย่างมากในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการ “ได้ไม่คุ้มเสีย”

ในทวีปเอเชีย ไม่มีตลาดหลักทรัพย์ใดจัดเก็บ “ภาษีหุ้น” ยิ่งคิดจะเก็บภาษีหุ้นแบบ “แคปปิตอล เกน แท็กซ์” ก็ยิ่งเพิ่มความยุ่งยาก เนื่องจากจำเป็นจะต้องหักกลบภาษีทั้งยังจากผลกำไรรวมทั้งขาดทุน หลายประเทศเลิกใช้ระบบนี้กันแล้ว

สถานการณ์ตลาดค้าหุ้นไทยในขณะนี้ ก็ไม่ถึงกับจะเป็นตลาดค้าหุ้นดีเด่นอีกทั้งประสิทธิภาพรวมทั้งจำนวนอะไรมากสักเท่าไรนัก เพียงแค่เป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ขับเคลื่อนด้วยสภาพคล่อง ซื้อง่ายขายดี เพราะมีนัมายากลงทุนรายย่อยอยู่ถึง 50% ในตลาด

ถ้าเกิดมีเหตุอันใดทำให้สภาพคล่องหายไป ก็จะเปลี่ยนเป็นตลาดที่วอลุ่มก็ไม่มา ดรรชนีก็ไม่ไป คอยวันตายสถานที่เดียว ไม่ใช่ตลาดที่เป็นแชมป์การค้าขายในอาเซียนเดี๋ยวนี้

ที่จริง การค้าขายในตลาดค้าหุ้น ก็ใช่ว่าจะปราศจากจากการจัดเก็บภาษีเสียรู้เดียว การค้าขายจำต้องโดนจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มหมด แล้วก็สำหรับนิติบุคคล เมื่อได้รับเงินโบนัส ก็จะถูกหักภาษีในที่จ่าย 10% อีกด้วย

ตลาดทุนที่มีอีกทั้งตราสารหนี้สินแล้วก็ทุนหมายถึงเฟืองระดมทุนสำคัญปีหนึ่งๆกว่า 1 ล้านล้านบาท อาจจะไม่ต้องบอกอะไรมากไม่น้อยเลยทีเดียวหรอกนะว่า มีคุณค่าคุโณปการเพียงใด

ถ้าหากจะสร้างกฎที่ต้องปฏิบัติใด ที่อาจก่อให้สภาพคล่องตลาดทุนหาย ก็พอๆกับการทำลายเฟืองระดมทุนที่มีความสำคัญต่อประเทศไปด้วย

อย่างกับที่คิดจะเอาก๊าสอ่าวไทยมาเผาทำไฟฟ้า เพื่อมัธยัสถ์ค่าไฟฟ้าได้เพียงแค่หน่วยละ 10 สตางค์ แม้กระนั้นทำลายอุตสาหกรรมปิโตรเคมีปีหนึ่งนับหลายแสนล้านบาท มันได้คุ้มเสียเอ๊ะป่าวประกาศล่ะ!

ต้องการจะมองเห็นขุนคลังเก็บของสตรีเหล็กที่สมาร์ทๆสักคน ก็เลยคัดค้านมาดอกนะ


แหล่งที่มา kaohoon.com