‘ฟินเทค’ พลิกโฉมระบบการเงินโลก



ตลอดทศวรรษช่วงที่ผ่านมา สถาบันการเงินเผชิญหน้ากับกระแสDisruptive Technology หรือนวัตกรรมทางเทคโนโลยีจนทำให้เกิดผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์เดิมต้องถูก Disrupt ไป นั่นจึงทำให้สถาบันการเงินจำเป็นต้องมี Digital Transformation หรือกระบวนการในการนำเทคโนโลยีมาสร้างสิ่งใหม่ เพื่อเปลี่ยนผ่านจากการดำเนินธุรกิจรูปแบบเดิมให้เหมาะสมกับธุรกิจยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ล่ะโน่นทำให้ FinTech (Financial Technology) หรือ “เทคโนโลยีทางด้านการเงิน” ถูกประยุกต์ใช้สำหรับในการเรียกชื่อบริษัทกรุ๊ปธุรกิจหรือกรุ๊ปผู้ประกอบธุรกิจที่สร้างสรรค์ของใหม่ด้านการเงินใหม่ๆด้วยการดัดแปลงเทคโนโลยีในการพัฒนาการให้บริการทางด้านการเงินแล้วก็การลงทุนให้มีความสบาย เร็ว ไม่มีอันตรายรวมทั้งมีคุณภาพมากเพิ่มขึ้น

โดยมีการจัดหมวดหมู่FinTech ออกเป็น 2 แบบอย่างเป็นTraditional Fintech และก็ Emergent FinTech โดย Traditional FinTech เป็นธุรกิจเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่อำนวยความสะดวกแล้วก็ส่งเสริมทางด้านเทคโนโลยีแก่ภาคการคลังโดยปกติ อาทิเช่น บริษัทผู้พัฒนาบริการ internet banking หรือ mobile banking ให้แก่สถาบันการเงิน

ส่วน Emergent FinTech เป็นธุรกิจหรือกรุ๊ปผู้ประกอบธุรกิจ ที่สร้างสรรค์ของใหม่ทางด้านการเงินใหม่ๆด้วยการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดหน้าที่ หรือกำจัดตัวกลางทางด้านการเงินแบบเริ่มแรก อาทิเช่น PayPal โดยปัจจุบันนี้ธุรกิจ Startup จำนวนมากที่ทำธุรกิจ FinTech ในขณะนี้

การเกิดขึ้นของ “ฟินเทคสตาร์ทอัพ” (FinTech Startups) ที่ปรับปรุงสินค้าและก็บริการด้านการเงิน มีจุดแข็งก็คือความชำนิชำนาญทางเทคโนโลยีและก็ลักษณะการดำเนินธุรกิจ (Business Model) รูปแบบใหม่ ซึ่งสามารถปิดช่องว่างที่เกิดขึ้นสำหรับลูกค้า โดยย้ำการให้บริการเฉพาะด้านและก็มีความคล่องตัวสูง นำมาซึ่งการทำให้มีฟินเทคสตาร์ทอัพ เกิดขึ้นมากไม่น้อยเลยทีเดียวทั่วทั้งโลก

จากข้อมูลธนาคารชาติ (ธนาคารแห่งประเทศไทย) พบว่า ในสหราชอาณาจักรมีปริมาณ 1,600 บริษัท เน้นย้ำการพัฒนาสินค้าแล้วก็บริการด้านการจ่ายเงินแล้วก็การโอนเงินระหว่างชาติ (Payments and Remittances) แล้วก็โปรแกรมคอมพิวเตอร์ทางการเงิน (Financial Software) ตอนที่ประเทศสิงคโปร์ มีปริมาณกว่า 500 บริษัท เน้นย้ำการพัฒนาสินค้าแล้วก็บริการด้านการบริหารความร่ำรวย (Wealth Management) การให้กู้ยืมแบบโอกาส (Alternative Lending) รวมทั้งการจ่ายเงิน

ส่วนอินโดนีเซีย มีปริมาณกว่า 260 บริษัท เน้นย้ำการพัฒนาสินค้าการจ่ายเงินผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Payment) และก็การให้กู้ยืมเงินแบบช่องทาง “ฟินเทคสตาร์ทอัพ” ถูกมั่นหมายที่จะเข้ามาช่วยทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นการให้บริการด้านการเงินตอบแทนเทคโนโลยีแบบเดิมไม่อาจจะตอบปัญหาได้นั่นเอง

ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทยมีการตั้งขึ้น Thailand Blockchain Community Initiative โดยเป็นความร่วมมือของภาคการคลังและก็ภาคธุรกิจ เพื่อแลกองค์ความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องบล็อกศาสนาเชนและก็การนำบล็อกศาสนาเชน มาปรับปรุงบริการด้านการเงินที่มากมาย และร่วมมือกับหน่วยงานดูแลดูแล หน่วยงานภาครัฐ รวมทั้งสัมพันธ์ผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยว อีกทั้งในแล้วก็ต่างชาติ เพื่อรองรับองค์ประกอบเบื้องต้นการบริการทางด้านการเงินที่กำลังเกิดขึ้นกันอย่างล้นหลาม..

การปรากฏของ FinTech กำลังทำให้ระบบสถาบันการเงินแบบเดิมๆเปลี่ยนเป็นเรื่องโบราณสุดท้าย โน่นก็เลยทำให้สถาบันการเงินต่างๆจำต้องรีบก้าวผ่านผ่านระบบนิเวศการคลังสมัยเก่า..สู่ระบบนิเวศการคลังแบบศตวรรษใหม่ เริ่มมองเห็นได้จากสมาร์ตโฟนที่คนจำนวนไม่น้อยมีอยู่ในมือจะมีแอปพลิเคชันสถาบันการเงินรวมทั้งสามารถทำธุรกรรมด้านการเงินครอบคลุมแทบทุกชนิด ไม่ว่าจะเปิดบัญชี โอนเงิน เปิดบัตรเครดิต การลงทุนในตลาดค้าหุ้น ผู้กระทำองทุนรวมต่างๆรวมทั้งการลงทุนเงินดิจิทัลสกุลต่างๆได้ทั่วทั้งโลก

“ใบเสร็จรับเงินล์ เกตส์” ผู้จัดตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ เคยกล่าวไว้ว่า “Banking is necessary, banks are not.” กล่าวอีกนัยหนึ่ง “ระบบการคลังยังมีความสำคัญ แต่ว่าสถาบันการเงินไม่ต้องมีก็ได้ ”จัดว่าตอบปัญหาคำว่า  Fintech ได้อย่างดีเยี่ยมทีเดียว..!!


แหล่งที่มา kaohoon.com