ไม่ช่วยแล้วยังทำลาย (ตลาดหุ้น)



กว่าจะมาเป็นยอดผู้เปิดบัญชีลงทุน 5 ล้านคนทุกวันนี้ ทำให้ SET หรือตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าการซื้อขายประจำวันสูงสุดในอาเซียนแซงหน้าสิงคโปร์ ก็เลือดตาแทบกระเด็น

จะต้องฝ่าด่านวิกฤตมาไม่เคยรู้กี่วิกฤตต่อวิกฤต ลองนึกภาพ ปี 2541 ข้างหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง 1 ปี ดัชนีตลาดหุ้นไทยจากเคยขึ้นสูงสุด 1,700 กว่าจุด ลงมาเหลือ 230 จุด

ทหารตลาดค้าหุ้น เจ็บตายไปเท่าใด แล้วก็เหลือรอดตายมาสืบต่ออาชีพผู้ร่วมลงทุนเยอะแค่ไหน ก่อนที่จะมาเป็นตลาดค้าหุ้นที่เจริญเติบโตมาได้เดี๋ยวนี้

จากตลาดหลักทรัพย์เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา ที่เล็กแล้วก็ไม่มีเสน่ห์ ผู้เปิดบัญชีลงทุนเพียงแค่ 2-3 แสนราย มาเป็น 5.7 ล้านบัญชีปัจจุบันนี้ จากมาร์เก็ตแคปไม่ถึง 1 ล้านล้านบาทดี เปลี่ยนมาเป็น 20 ล้านล้านบาท แซงหน้าค่าจีดีพีเมืองไทยไปแล้ว ถามคำถามว่าคนใดสร้างคนใดกันทำ

พล.อำเภอประยุทธ์ จันทร์โอชะ คนรับราชการทหารมาตลอดชีวิต คงจะไม่ทราบ “ตลาดค้าหุ้น” ในฐานะเครื่องจักรระดมทุนขนาดใหญ่ของประเทศสักเท่าไรนัก หรือก็ไม่

เวทมนตร์ เพิ่มพิทยาดีเลิศ ที่รับราชการสภาพัฒน์ฯ มาตลอดชีวิต ไม่เคยได้ออกไปสัมผัส “เศรษฐกิจจริง” สักเท่าไหร่ แล้วก็อาจจะไม่เคยทราบ “ตลาดค้าหุ้น” สักเท่าไหร่นัก ก็คงจะไม่เคยมีคุโณปการอะไรกับตลาดหลักทรัพย์

ส่วนอธิบดีสรรพากร ลวรณ แสงสว่างสนิท ตอนยุคคนรุ่นเก่าอย่างดร.วีรพงษ์ รามางกูรแจ้งกำเนิดตลาดค้าหุ้นและก็ช่วยเหลือกันปรับปรุงจนกระทั่งเจริญ ในตอนนั้นก็ยังคงเป็นเจ้าหน้าที่รัฐระดับเล็กในกระทรวงการคลัง คงจำอะไรมิได้แล้วขณะนี้ ถึงได้ออกมาชูป้ายเชียร์ให้เก็บภาษีขายหุ้น (Transaction Tax) อย่างสุดลิ่มทิ่มแทงประตู

แทนจะเป็นCapital Gain Tax (ภาษีผลกำไรจากวิธีขายหุ้น) หรือเปล่าเก็บเลยได้ยิ่งดี

การกล่าวถึงว่าการเก็บแบบแคปปิตอล เกน แท็กซ์เกิดเรื่องยุ่งยาก มันยุ่งยากอะไรหา! เนื่องจากว่าการค้าขายในตลาดค้าหุ้นมันอยู่ในระบบ AI หมดแล้ว ซื้อมาเท่าไร ขายไปเยอะแค่ไหนก็กดเรียกมองได้ง่ายๆ

มันยุ่งยากหรือชุ่ย บอกออกมาให้ชัดๆกันเหอะ

นอกเหนือจากการที่จะเป็นภาษีที่ไม่ยุติธรรม เนื่องจากดันไปเก็บจากภาษีขายขาเดียว ที่หากแม้ขายขาดทุนก็ยังจะตามไปตอกย้ำเขา และไม่เท่าเทียมกันเนื่องจากดันไปนอกจากให้กองทุนต่างๆเต็มไปหมด ทั้งๆที่ก็จำหน่ายชนิดเดียวกันกับนักลงทุนทั่วๆไปแล้ว ยังจะมีรายการมั่วผสมโรงในเรื่อง “ภาษีเขตแดน” 0.01% ด้วยซะอีก

ถามหน่อยเถิดการคีย์คำบัญชาซื้อขายแลกเปลี่ยนหุ้นทางคอมพิวเตอร์น่ะ ได้มีการใช้สิ้นเปลืองทรัพยากรแคว้น ตัวอย่างเช่นใช้รถยนต์ใช้ถนนหนทางยังไงหรอ ถึงมามั่วตีเอาภาษีเขตแดนกับเขาด้วย

หวังจะได้เงินภาษีหุ้น 1.5-1.8 หมื่นล้านบาทด้วยแนวทางมั่วๆชุ่ย แล้วก็คิดทำร้ายตัวเองในโลกแคบแบบนี้ มันเป็นการ “ได้ไม่คุ้มเสีย” หรอก

ผลตอบแทนจากการมีตลาดหุ้นที่ครึกโครม มีวอลุ่มใหญ่การค้าขาย รวมทั้งเป็นศูนย์กลางตลาดทุนในอนุภูมิภาคอาเซียน มีเยอะแยะกว่าเงิน 1.5 หรือ 1.8 หมื่นล้านแน่ๆ

บริษัทหลักทรัพย์หรือโบรกเกอร์ที่มีผลกำไรก็จะต้องจ่ายภาษีรายได้นิติบุคคล แม้กระนั้นนี่แม้วอลุ่มซื้อขายแลกเปลี่ยนหดตลาดซบเซา เว้นเสียแต่โบรกเกอร์จะขาดทุนไม่มีผลกำไร ก็ไม่มีภาษีนิติบุคคลจะจ่ายเมือง แถมบางทีอาจล้มเลิกกิจการ ทำให้คนภายในอุตสาหกรรมนี้นับพันว่างงานอีกด้วย

ตลาดหลักทรัพย์ที่ครึกโครมถึงขนาดเป็นศูนย์กลางการลงทุนในอนุภูมิภาคนี้แล้ว ย่อมจะมีผลให้การระดมทุนภาคเอกชนทั้งยังการออกตราสารทุน รวมทั้งตราสารหนี้สิน ทำได้อย่างไม่ยากเย็น ปีหนึ่งเป็นค่าสูงยิ่งกว่า 2.5 ล้านล้านบาท โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยเมืองสักแดงเดียว มันไม่ดีดอกหรือ

ช่วยสร้างงานสร้างเศรษฐกิจตั้งเท่าใด โดยเมืองมิได้ออกตังค์สักแดงเดียว รัฐบาลชุดนี้ที่ใกล้จะลงโลงศพ คิดเกี่ยวกับเรื่องอะไรอยู่เอ๊ะ อยู่ๆไปเพิ่มทุนนักลงทุนตั้ง 167% ตลาดค้าหุ้นช่วยเมืองช่วยชาติที่สว่างไสวจู่ๆมันก็จำต้องพังครืนลงมาไม่มีชิ้นดี

จากคนสายตาสั้นที่แลเห็นเงินเพียงแค่ปีละ 1 หมื่นกว่าล้าน แทนจะเห็นแก่เงินกว่า2.5 ล้านล้านต่อปีนี่นะ ฮ่วยอิหลี เฮงซวย!


แหล่งที่มา kaohoon.com